การปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงในอุตสหกรรมก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน

construction

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดการประชุมเพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ผ่านโครงการความร่วมมือที่เชื่อมโยงทั้งภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมและพัฒนาโซ่อุปทานอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างยั่งยืน

คลัสเตอร์วัสดุก่อสร้างของ ส.อ.ท. ได้เป็นผู้ร่วมเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและกระบวนการในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างของไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาในภาคอุตสาหกรรม นำเสนอแนวคิดการออกแบบที่ทันสมัยและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้การออกแบบระบบอุตสาหกรรมมาตรฐานสากลและการประกอบติดตั้งที่มีประสิทธิภาพเป็นส่วนสำคัญ

โดยใช้เทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) เป็นเครื่องมือหลักในกระบวนการออกแบบและการสร้างโครงสร้าง ทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลและข้อมูลสารสนเทศที่ต้องการในขั้นตอนต่าง ๆ ของการก่อสร้าง ผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น การแบ่งปันข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งช่วยให้กระบวนการออกแบบและการก่อสร้างเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การใช้เทคโนโลยี BIM ไม่เพียงแต่เสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยลดปัญหาขยะที่เกิดขึ้นจากกระบวนการก่อสร้างและการใช้พลังงานสิ้นเปลือง ที่เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ นอกจากนี้ เทคโนโลยี BIM ยังเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มความชัดเจนในกระบวนการตรวจสอบและการดูแลรักษาหลังการก่อสร้าง ช่วยให้มีการตรวจสอบและรับรองคุณภาพงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเติบโตของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในไทยยังคงเป็นที่น่าตื่นเต้น เนื่องจากภาวะการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างเฉลี่ย 4.5-5.5% ต่อปี ทำให้เกิดโอกาสให้กับภาครัฐและภาคเอกชนที่จะร่วมกันพัฒนาโครงการทางพื้นที่ เช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้กิจกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมสืบค้านเติบโตอย่างมั่นคง

สำหรับผู้ประกอบการในหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ต้องการการติดตามแนวโน้มและการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและลูกค้า รวมถึงความท้าทายจากการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคตที่อาจมีการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ในสายการผลิตวัสดุก่อสร้างและธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทยปัจจุบัน ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มาจากภายในและต่างประเทศ หรือมาตรการการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่กำลังจะมีผลกระทบต่อทั้งการผลิตและการพัฒนาวัสดุในไทย

ในทางกลับกัน ความต้องการของตลาดทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน กำลังเน้นไปที่การก่อสร้างและโครงสร้างอาคารที่เป็นเขตสีเขียว (Green Building) และนี่คือแนวทางที่ผู้ประกอบการควรปรับตัวให้พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลง

การสนับสนุนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อให้เกิดการสร้างคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้างเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากมีการรวมกลุ่มผู้ประกอบการในกลุ่มต่าง ๆ อย่างแก้วและกระจก แกรนิตและหินอ่อน เคมี เซรามิก เทคโนโลยีชีวภาพ ปูนซีเมนต์ พลาสติก ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไม้อัดไม้บางและวัสดุแผ่น โรงเลื่อยและโรงอบไม้ เหล็ก หลังคาและอุปกรณ์ อะลูมิเนียม เป็นต้น เพื่อให้เกิดการร่วมมือที่ครอบคลุมและรอบด้านทั้งในเชิงอุตสาหกรรมและพื้นที่ นอกจากนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำลังมุ่งเน้นสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-GEN Industries) ผ่านโครงการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agricultural Industry) และการบูรณาการกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเพื่อยกระดับพื้นที่สู่ระดับ Smart City การร่วมมือแบบเชิงคลัสเตอร์จึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และยังเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างของเรา

ที่มา : bangkokbiznews.com